ค้นหา

ปฏิวัติการปลูกหอมแดง ใช้เมล็ดแทนหัว ผลผลิตเพิ่ม 50%

กาญจนา สิมะนราธร เกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงและผู้รับซื้อ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน
เข้าชม 220 ครั้ง

การปลูกแบบนำหัวไปเสียบลงดิน เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป…แต่รู้หรือไม่ หอมแดงที่ปลูกโดยใช้เมล็ดนั้นดีกว่าในทุกมิติ ทั้งไม่มีโรค เชื้อรา กลิ่นหอมกว่า ผลผลิตสูงกว่า หัวใหญ่และสีสวยกว่า แถมตลาดยังต้องการ ทำให้ได้ราคาสูงกว่าหอมทั่วไป กก.ละ 2–5 บาท

“อยู่ในวงการหอมแดงมากว่า 20 ปี ทั้งปลูกเองและรับซื้อผลผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ แต่เมื่อราว 5 ปีที่แล้ว ได้เข้าร่วมทีมวิจัยกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ศึกษาการปลูกหอมแดงโดยใช้เมล็ด พบว่าให้ผลผลิตดีกว่าปลูกแบบใช้หัวแทบทุกด้าน แต่ยังขาดเมล็ดพันธุ์คุณภาพ กระทั่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว อีสท์ เวสท์ ซีด ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ตราศรแดง นำเมล็ดพันธุ์หอมลำดวนมาให้ทดลองปลูก แล้วพบว่าตอบโจทย์ได้ทุกด้าน จึงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเรื่อยมา จนปัจจุบันมีผู้ปลูกหอมด้วยเมล็ดแล้วกว่า 150 ไร่”

กาญจนา สิมะนราธร หรือ เจ๊เจิน เกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงและผู้รับซื้อรายใหญ่แห่ง อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน อธิบายถึงการบุกเบิกปลูกหอมแดงโดยใช้เมล็ด โดยใช้เมล็ดพันธุ์หอมลำดวนของอีสท์ เวสท์ ซีด ที่ผ่านการคิดค้นและปรับปรุงสายพันธุ์กว่า 5 ปี

เดิมทีในวงการหอมแดงรู้กันอยู่แล้ว หอมแดงปลูกด้วยเมล็ดได้ แต่เกษตรกรไม่ค่อยนิยมนัก เพราะต้องเพาะเมล็ดก่อนลงปลูกในแปลง ทำให้ยุ่งยาก จึงนิยมแต่การปลูกด้วยหัว แต่ก็ต้องสุ่มเสี่ยงกับโรคและเชื้อราที่ติดมากับหัว อัตรารอดครึ่งต่อครึ่งกลีบและสีไม่สด เนื้อสีไม่สวย บางครั้งรสชาติก็ไม่ค่อยดี ที่สำคัญก่อนปลูกต้องแขวนตากลมก่อน 60 วัน เพื่อให้พร้อมปลูกในแปลง

สำหรับพันธุ์หอมลำดวน หลังจาก เจ๊เจิน ได้รับเมล็ดพันธุ์จากบริษัท ได้ทดลองปลูกด้วยตัวเอง พบว่าตอบโจทย์แทบทุกด้าน ทั้งลดต้นทุนและได้ผลผลิตเพิ่มกว่า 50% ทนทานต่อโรคสูงกว่าหัวพันธุ์ รูปทรงที่เป็นหัวเดี่ยวได้มากกว่า หัวแน่น กลมใหญ่ ไม่แตกกลีบ สีสวย กลิ่นค่อนข้างหอมกว่าพันธุ์พื้นบ้านทั่วไป ให้ผลผลิตเกรดเอสูง ผลผลิตจึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก แม้ต้องเพาะกล้าก่อน 35-45 วัน แต่ก็ประหยัดเวลากว่าการปลูกแบบหัว ที่ต้องรอแขวนตากลมอีก 60 วัน

ส่วนการปลูก…เริ่มที่แปลงกล้าขนาด 1×20 เมตร ให้ยกแปลงสูง 20-30 ซม. รดน้ำให้แปลงชุ่มชื้น หว่านเมล็ด 3 กรัมต่อตารางเมตร แล้วกลบด้วยแกลบ ฟาง หรือขุยมะพร้าว ผ่านไป 5-6 วัน เมื่อเมล็ดงอกจึงเอาวัสดุคลุมออก ผ่านไป 35-45 วัน จึงย้ายลงแปลงปลูก โดยตัดปลายกล้าให้เหลือความสูง 10-15 ซม. เพื่อลดการคายน้ำ

พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกระยะ 14×14 ซม. ใช้กล้า 81,600 ต้น หลังย้ายปลูกให้รดน้ำทันที เพื่อให้รากประสานกับดิน ผ่านไป 20 วัน ให้หว่านปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ไร่ละ 25 กก. ปลูกได้ 30 วัน หว่านปุ๋ยสูตรและปริมาณเท่าเดิม ถึงวันที่ 50 หลังย้ายปลูก เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 13-13-21 ไร่ละ 25 กก. และ 60 วัน ก็ให้ปุ๋ยสูตรและปริมาณเท่าเดิม ปลูกได้ 65-70 วัน จึงเก็บเกี่ยว

“ปลูกโดยใช้หัว ใน 1 ไร่ ต้องมีต้นทุนค่าหัว 12,000–16,000 บาท อัตรารอดครึ่งต่อครึ่ง ต้องมีค่าตัดหัวพันธุ์เก็บไว้ปลูกต่อ หัวที่ไม่ขึ้นก็ต้องซื้อมาปลูกทดแทน ไหนจะค่าบรรจุถุง ไหนจะต้องรอแขวนตากลมอีก 2 เดือน รวมๆ แล้วต้นทุนการปลูกแบบนี้ราวไร่ละ 14,220–18,920 บาท ใช้เวลาเก็บเกี่ยวรวมตากลม 140–145 วัน แต่ปลูกโดยใช้เมล็ด ค่าต้นทุนเมล็ด 1 ไร่ อยู่ที่ 6,500 บาท ค่าเพาะกล้ารวมกับสารกันเชื้อราอีกไร่ละ 600 บาท รวมกันแค่ 7,100 บาท ใช้เวลาเก็บเกี่ยวรวมเพาะกล้า 140–155 วัน ระยะเวลาแทบไม่ต่างกัน แต่ต้นทุนถูกกว่ากันครึ่งๆ แถมได้ผลผลิตดี เป็นเกรดเอแทบทั้งหมด เลยเป็นที่ต้องการของตลาด ฉะนั้นเราถึงกล้าให้ราคาเพิ่มขึ้นอีก กก.ละ 2-5 บาท ถ้าใครปลูกโดยใช้เมล็ด”

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.thairath.co.th/news/local/2695718