ค้นหา

“นฤมล”ลั่นพร้อมจับมือ syngenta group ดันไทยศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชโลก

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เข้าชม 50 ครั้ง

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Syngenta Group ได้แก่ Ms. Alexandra Brand , EVP Sustainability and Corporate Affairs และ Mr. Mark Ball, Global Head of Public Affairs เกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทยและบทบาทของนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนและเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตทั่วโลก

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรเป็นอับดับต้น ๆ ของโลก ภาคเกษตรจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันเราต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ เช่น ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ปัจจัยการผลิตมีราคาสูงจากผลของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงงานภาคการเกษตรมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นและภัยธรรมชาติที่รุนแรงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

“สิ่งสำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ จะดำเนินการเพื่อรับมือกับความท้าทายข้างต้น คือ การเตรียมความพร้อมด้านปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ ซึ่งประเทศไทยมีความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์พืช และยังมีความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ ในการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชเมืองร้อนหลายชนิด สามารถผลิตได้มากกว่า 1 รอบต่อปี ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกเมล็ดพันธุ์อันดับ 2 ของเอเชีย รองจากประเทศจีน และเป็นอันดับ 9 ของโลก จึงอยากเชิญชวนให้บริษัท Syngenta Group มาลงทุนด้านเมล็ดพันธุ์ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบรับนโยบายของไทยในการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์พืชของโลก”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ที่สามารถต้านทานสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชโดยใช้เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม (Gene-editing) ดังนั้น การสร้างความร่วมมือทางวิชาการด้านการวิจัยเมล็ดพันธุ์ กับบริษัท Syngenta จึงเป็นโอกาสอันดี เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตเมล็ดพันธุ์พืชคุณภาพดีของโลก

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อด้วยว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังได้มีแนวทางการพัฒนาภาคเกษตร ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยระบบการผลิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย โภชนาการ สังคมและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน Codex ปรับเปลี่ยน การทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ “ผลิตมาก แต่สร้างรายได้น้อย” (More for less) ไปสู่เกษตรสมัยใหม่ที่ “ผลิตน้อย แต่สร้างรายได้มาก” (Less for more) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงหรือเป็นสินค้าพรีเมียม โดยเฉพาะ กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ซึ่งในระยะแรกของการปรับเปลี่ยน เกษตรกรต้องใช้ระยะเวลาและเงินทุน ดังนั้น ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงมีระบบกลไกสหกรณ์ โดยร่วมมือกับ ธ.ก.ส เพื่อช่วยสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนให้เกษตรกรรายย่อยด้วยเช่นกัน

“กระทรวงเกษตรฯ ยินดีที่จะสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัท Syngenta Group ในการทำการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็นแหล่งอาหารที่มีความยั่งยืนและสนับสนุนการสร้างความมั่นคงอาหารของโลก ด้วยแนวทางสำคัญ คือ ตลาดนำนวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้ ภายใต้นโยบายหลัก 9 นโยบาย พร้อมมุ่งมั่นในยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูงด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เกษตรแม่นยำ เกษตรอัจฉริยะ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อากาศยานไร้คนขับ มาพัฒนาอาชีพด้านพืช ปศุสัตว์และประมง เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงอาหาร ซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

ด้านบริษัท Syngenta Group ระบุว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ ของไทยเช่นกัน ในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ และมีแผนที่จะเดินทางมาไทยเพื่อหารือและผลักดันความร่วมมือกันต่อไป

แชร์ :
ที่มาของเนื้อหา : https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1163382